10 สนามแข่งชั้นนำของโลกmotogp ที่น่าจับตามองในปี 2021
ในการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลกอย่าง MotoGP มี 10 สนามแข่ง motoGP ที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ รายการแข่งขันมอเตอร์ไซค์รายการนี้นั้นเป็นการแข่งขันที่มีการจัดติดต่อกันมาถึงมากกว่า 80 ปี ซึ่งในการแข่งขันในหนึ่งฤดูกาลนั้นโดยปกติจะใช้สนามแข่งถึง 19 – 20 สนามด้วยกัน แต่ในปี 2020 นี้ อาจมีการปรับให้เหลือเพียง 16 -17 สนาม ซึ่งวันนี้เรามาทำความรู้จัก 10 สนามแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ชั้นนำ ที่มีมาตรฐานและความท้าทายที่แตกต่างกันไปในการแข่งขันในแต่ละรอบกันดีกว่า
10 สนามแข่ง motoGP ทำความรู้จักกับข้อมูลที่น่าสนใจในแต่ละสนาม
เกมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบรายการนี้นั้น มีจุดเด่นที่การแข่งขันที่มีหลากหลายสนาม ซึ่ง 10 สนามแข่ง motoGP ที่เราได้นำมายกตัวอย่างในวันนี้นั้นเป็นสนามแข่งที่แฟนคลับของการแข่งขันรายการนี้นั้นได้ยกให้สนามถือว่าโหดและหินพอสมควร ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของการแข่งขันเลยทีเดียว เพราะเราจะได้เห็นทั้งการแข่งขันของนักบิดแต่ละทีมที่ต้องห้ำหั่นกันด้วยความเร็ว และได้เห็นความสวยงามของสนามแต่ละสนามในทุก ๆ มุมโลกอีกด้วย 10 สนามแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ชั้นนำที่นำเสนอ ได้แก่
1. Marino World Circuit Marco Simoncelli ( ประเทศอิตาลี )
เป็น สนามแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีระยะทางรอบสนามเท่ากับ 4.2 กิโลเมตร ความกว้างสนาม 14 เมตร ระยะทางส่วนมากนั้นเป็นทางตรง แต่ก็ไม่สามารถใช้ความเร็วที่สูงมากได้ เนื่องจากมีโค้งถึง 16 โค้งด้วยกัน ถึงจะดูเป็นสนามที่มีโค้งไม่เยอะ แต่ก็มีทางโค้งหักศอกที่ต้องคอยระแวงระวังถึง 4 โค้ง และโค้งที่ควรต้องระวังมากที่สุดนั่นก็คือโค้งที่ 14
2. Circuit de Barcelona-Catalunya ( ประเทศสเปน )
เป็นสนามที่ทันสมัยที่สุดใน 10 สนามแข่ง motoGP ที่ได้นำมายกตัวอย่าง เพราะเป็นสนามที่ถือได้ว่าสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก และสภาพสนาม มีระยะทางรวม 4.7 กิโลเมตร เป็นสนามที่ในช่วงแรกนั้นจะมีทางโค้งติดต่อกันหลายโค้ง แต่เป็นโค้งที่สามารถทำความเร็วได้ แต่เมื่อผ่านโค้งสุดท้ายแล้วนั้นจะเป็นทางตรงที่ยาวจนถึงจุดสตาร์ท
3. Automotodrom Brno ( ประเทศสาธารณรัฐเช็ก )
เป็น 1 ใน 10 สนามแข่ง motoGP ที่มีความท้าทายทางด้านสนามเป็นอย่างมาก ด้วยความที่พื้นสนามนั้นมีความสูงต่ำแบบไล่ระดับไปตามภูมิประเทศเนินเขา มีการโค้งที่ค่อนข้างซิกแซก ด้วยระยะทางถึง 5.4 กิโลเมตร จึงทำให้นักแข่งต้องเตรียมตัวมาให้ดีในสนามนี้
4. Silverstone Circuit ( ประเทศอังกฤษ )
เป็นสนามที่ยาวที่สุดใน 10 สนามแข่ง motoGP ที่ยกตัวอย่างมา ด้วยระยะทางถึง 5.9 กิโลเมตร มีทางโค้งที่เยอะถึง 18 โค้ง และมีโค้งปราบเซียนอยู่ที่โค้งที่ 14 เพราะในจุดนั้นเป็นโค้ง ที่ติดต่อถึง 3 โค้ง เราเป็นทางโค้งแบบ 90 องศา
5. Sepang International Circuit ( ประเทศมาเลเซีย )
สนามจากเพื่อนบ้านของเราที่ได้รับฉายาว่า “สนามแห่งความเร่าร้อน” สนามแห่งนี้มีความท้าทายที่ไม่ได้มาจากสนามแต่อย่างใด แต่เป็นสภาพอากาศที่มีความร้อนสูงมาก และบางครั้งนั้นก็มีฝนตก จึงทำให้เกิดปัญหาทางเทคนิคเกิดขึ้นได้กับรถตลอดเวลา สนามนี้มีระยะทางอยู่ที่ 5.5 กิโลเมตร
6. Motorland Aragon ( ประเทศสเปน )
อีกหนึ่งสนามจากประเทศสเปน ซึ่งประเทศสเปนนั้นขึ้นชื่อด้านความครบครันในด้านความทันสมัยของสนามแข่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สนามแห่งนี้นั้นมีระยะทาง 5.1 กิโลเมตร และมีทางตรงก่อนจะเข้าโค้งสุดท้ายเพื่อจะเข้าเส้นชัย ทำให้มีการแข่งขันที่ค่อนข้างดุเดือดในสนามนี้
7. Twin Ring Motegi ( ประเทศญี่ปุ่น )
สนามแห่งนี้นั้นมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทุกอย่างของฮอนด้าตั้งอยู่ แถมยังเป็นสนามที่ค่อนข้างหินมาก เนื่องด้วยมีโค้งในลักษณะตัว U หลายโค้ง จึงทำให้นักแข่งบางคนนั้นใช้ป้าเบรกจนหมด จนทำให้ต้องออกจากการแข่งขันไปก่อนจะถึงเส้นชัยหลายคนแล้ว
8. Phillip Island ( ประเทศออสเตรเลีย )
ตลอดระยะทาง 4.4 กิโลเมตร ในการแข่งขันนั้นเต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์ที่แสนงดงาม แต่ภายใต้ความงดงามนั้นก็ซ่อนความโหดร้ายไว้ เนื่องจากมีการมุมมองในการโค้งเป็นมุมปิด ทำให้ลดทัศนวิสัยของนักแข่ง ทำให้นักแข่งต้องทำความเคยชินและความเข้าใจกับสนามเป็นอย่างมากก่อนที่จะเริ่มแข่งจริง
9. TT Circuit Assen ( ประเทศสเปน )
เป็นสนามที่ค่อนข้างอันตราย แม้ว่าเส้นทางจะไม่ได้มีโค้งหักศอก หรือ โค้งมุมปิดที่เป็นอันตรายเท่ากับสนามอื่น แต่สิ่งพิเศษกว่าสนามอื่นนั่นก็คือ สภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ อาจมีทั้งแดดร้อน ฝนตก หรืออาจมีพายุเข้าเลยก็เป็นได้
10. Chang International Circuit
เป็นสนามที่แฟนกีฬาแห่งความเร็วชาวไทยนั้นต้องภาคภูมิใจเพราะเป็นสนามที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย มีระยะทาง 4.5 กิโลเมตร เส้นทางส่วนใหญ่นั้นเป็นทางตรง เป็นสนามที่สู้กันด้วยความเร็วเป็นส่วนมาก
สรุป
จาก 10 สนามแข่ง motoGP ที่กล่าวไปข้างต้นนั้น จะทำให้รู้ว่า ทั่วทุกมุมโลกนั้นมี สนามแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีความโหด และ ความยากต่างกันไปในแต่ละสนาม ที่นักแข่งทุกคนต้องใช้ทั้งทักษะและการวิเคราะห์เพื่อรับมือกับสถานการณ์อาจเกิดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด และยังต้องมีทีมงานที่ค่อยเช็คความพร้อมของรถที่ทำการแข่งอีกด้วย